วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2554

องค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

 

            ระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ  จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ   4  ส่วน  ดังนี้

        1.   ฮาร์ดแวร์   (hardware)  หรือ  ส่วนเครื่อง

        2.  ซอฟต์แวร์   (software)  หรือ  ส่วนชุดคำสั่ง

        3.  ข้อมูล   (data)

        4.  บุคลากร   (people)

clip_image002

ภาพแสดงองค์ประกอบของระบบคอมพิวเตอร์

 

ฮาร์ดแวร์  (Hardware)

 

              อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์  (hardware)  หมายถึง   ตัวเครื่องและอุปกรณ์ส่วนต่างๆ ที่เราสามารถสัมผัสและจับต้องได้  ฮาร์ดแวร์จะประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ  4  ส่วน   ดังนี้คือ

 

            1.  ส่วนประมวลผล   (processor)

            2.  ส่วนความจำ   (memory)

            3.  อุปกรณ์รับเข้าและส่งออก   (input-output devices)

            4.   อุปกรณ์หน่วยเก็บข้อมูล   (storage device)

 

clip_image002[6]

ภาพแสดงองค์ประกอบของฮาร์ดแวร์

 

clip_image002[8]

ภาพแสดงคอมพิวเตอร์

 

หน่วยประมวลผลกลาง

 

            หน่วยประมวลผลกลาง  (Central Processing Unit)  หรือ เรียกคำย่อว่า  ซีพียู  (CPU)  คำว่า  ซีพียู  มีความหมายทางด้านฮาร์ดแวร์  2  อย่างด้วยกัน  คือ

 

          1.  ตัวชิป  (chip)  ที่ควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์

          2.  ตัวเครื่องคอมพิวเตอร์หรือกล่องเครื่องที่มีซีพียูบรรจุอยู่

           ความหมายส่วนที่  2  ถ้ามองทางด้านเทคนิคแล้วจะเป็นความหมายที่ไม่ถูกต้อง  เนื่องจากตัวซีพียูเป็นชิปคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เหมือนส่วนสมองของระบบคอมพิวเตอร์

 

clip_image002[10]

ภาพแสดงลักษณะของซีพียูที่ใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์

 

       ซีพียูมีหน้าที่หลัก ในการควบคุมการทำงานของคอมพิวเตอร์ประมวลผล  และเปรียบเทียบข้อมูล โดยทำการเปลี่ยนแปลงข้อมูลดิบ  ให้เป็นสารสนเทศที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้  ความสามารถของซีพียูนั้นพิจารณาความเร็วของการทำงาน การับส่งข้อมูล การอ่านและเขียนข้อมูลในหน่วยความจำ  ความเร็วของซีพียูขึ้นอยู่กับตัวให้จังหวะที่เรียกว่า  สัญญาณนาฬิกา  เป็นความเร็วของจำนวนรอบสัญญาณใน  1  วินาที มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์  (hertz)  ความสามารถของเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ที่นิยมใช้งานในปัจจุบันจะใช้ซีพียูรุ่นเพนเทียมทรี (pentium III) หรือสูงเกินโดยมีความเร็วสัญญาณนาฬิกาสูงถึง  1  จิกะเฮิรตซ์  (1 GHz)  คือสัญญาณที่มีความเร็ว  1  ล้านรอบใน 1 วินาที  และมีแนวโน้มที่สามารถพัฒนาให้มีความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ

 

clip_image003

ภาพแสดงจำนวนรอบสัญญาณใน 1 วินาที มีหน่วยเป็นเฮิรตซ์ (hertz)

 

หน่วยความจำ

         เราสามารถแยกประเภทของหน่วยความจำ  (memory)  ได้ดังนี้

            1.  หน่วยความจำหลัก

           2.   หน่วยความจำสำรอง

           3.   หน่วยเก็บข้อมูล

 

           1. หน่วยความจำหลัก (Main memory) คือ หน่วยเก็บข้อมูลและคำสั่งต่างๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ประกอบด้วยชุดความจำข้อมูลที่สามารถบอกตำแหน่งที่เก็บข้อมูลหรือคำสั่ง ข้อมูลจะถูกนำไปเก็บไว้และสามารถถูกนำออกมาใช้ในการประมวลผลในภายหลัง โดยซีพียูทำหน้าที่ในการนำข้อมูลเข้าและนำออกจากหน่วยความจำ หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง การทำงานของคอมพิวเตอร์นั้นต้องใช้พื้นที่ของหน่วยความจำในการทำงานประมวลผลและเก็บข้อมูล ขนาดความจุของหน่วยความจำสามารถคำนวณได้จากค่าจำนวนพื้นที่ที่สามารถใช้ในการเก็บข้อมูล จำนวนพื้นที่คือจำนวนข้อมูลและขนาดของโปรแกรมที่สามารถเก็บได้สูงสุดในขณะทำงานถ้าพื้นที่ของหน่วยความจำมีมากจะช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วมากยิ่งขึ้นด้วย

 

หน่วยความจำหลักแบ่งได้ 2 ประเภทคือ

 

        1.1  หน่วยความจำแบบ “แรม” (RAM = Random Access Memory)

       1.2  หน่วยความจำแบบ “รอม” (Read Only Memory)

 

        1.1 หน่วยความจำแบบ “แรม” (RAM = Random Access Memory) หน่วยความจำแรมเป็นหน่วยความจำที่ต้องอาศัยกระแสไฟฟ้าเพื่อรักษาข้อมูล ข้อมูลหรือแฟ้มข้อมูลจะถูกเก็บไว้ชั่วคราวขณะทำงาน ข้อมูลที่อยู่ในหน่วยความจำจะอยู่ได้นานจนกว่าจะปิดเครื่องคอมพิวเตอร์หรือไม่มีกระแสไฟฟ้าป้อนส่งให้กับเครื่อง  เมื่อปิดเครื่องหรือไฟฟ้าดับข้อมูลที่ถูกเก็บไว้จะถูกลบหายไป เราเรียกว่าหน่วยความจำประเภทนี้ว่า หน่วยความจำแบบลบเลือนได้  (volatile memory)

 

clip_image003[9]

ภาพแสดงลักษณะของหน่วยความจำ  ”แรม”  ที่ใช้กับเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์

 

           1.2 หน่วยความจำแบบ “รอม”  (ROM = Read Only Memory)  เป็นหน่วยความจำที่ใช้ในการเก็บโปรแกรมหรือข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับเครื่องคอมพิวเตอร์  ข้อมูลที่ถาวรไม่ขึ้นกับไฟฟ้าที่ป้อนให้กับวงจร  ยอมให้ซีพียูอ่านข้อมูลหรือโปรแกรมไปใช้งานอย่างเดียว ไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปเก็บไว้ได้โดยง่าย  ต้องใช้เทคนิคพิเศษช่วย  ส่วนใหญ่ใช้ในการเก็บโปรแกรมควบคุม เราเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่า  หน่วยความจำแบบไม่ลบเลือน  (nonvolatile memory)

 

           1. หน่วยความจำสำรอง (secondary storage)  หน่วยความจำชนิดนี้มีไว้สำหรับสำรองหรือทำงานกับข้อมูลและโปรแกรมขนาดใหญ่เนื่องจากขนาดของหน่วยความจำหลักมีจำกัด หน่วยความจำสำรองสามารถเก็บไว้ได้หลายแบบ  เช่น  แผ่นบันทึก  (floppy disk)  จานบันทึกแบบแข็ง  (hard disk)  แผ่นซีดีรอม  (CD-ROM)  และจานแสงแม่เหล็ก  เป็นต้น

 

จานบันทึกข้อมูล

 

          ตัวจานบันทึกข้อมูลแบบแข็ง  (Hard Disk) ประกอบด้วยแผ่นจานแม่เหล็กตั้งแต่หนึ่งแผ่นจนถึงหลายแผ่น และเครื่องขับจาน  (Hard Disk Drive)  เป็นส่วนอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์  มีมอเตอร์ทำหน้าที่หมุนแผ่นจานแม่เหล็กด้วยความเร็วสูง มีหัวแม่เหล็กทำหน้าที่อ่านและเขียนข้อมูลต่างๆ ลงบนผิวของแผ่นดังกล่าวตามคำสั่งของโปรแกรมหรือผู้ปฏิบัติงานต้องการโดยหัวอ่านและเขียนไม่ได้สัมผัสแผ่นโดยตรงแต่เคลื่อนที่ผ่านแผ่นไปเท่านั้นส่วนการบันทึกข้อมูลได้จำนวนมากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับเครื่องและรุ่นที่ใช้ปัจจุบันสามารถเก็บข้อมูลได้ตั้งแต่ขนาด 500 เมกะไบต์  (Megabyte)  จนถึง  80  กิกะไบต์  (Gigabyte)  หรือมากกว่า

 

 

  • clip_image002[14]

ภาพแสดงจานบันทึกข้อมูลแบบแข็ง (Hrad Disk)

 

แผ่นบันทึกหรือฟลอปปี้ดิสก์

 

             แผ่นบันทึกข้อมูล  (floppy disk)  เป็นหน่วยความจำรอง ตัวแผ่นทำด้วยพลาสติกชนิดอ่อน  มาตรฐานที่นิยมใช้ในขนาดนี้จะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง  3.5  นิ้ว  ความจุข้อมูล 1.44 เมกะไบต์  บรรจุในซองพลาสติกแข็งเพื่อป้องกันกับแผ่นบันทึกไม่ให้เสียหายง่าย  ใช้เป็นสื่อในการถ่ายโอนหรือสำเนาแฟ้มข้อมูล  นอกจากนี้ยังมีแผ่นบันทึกชนิดพิเศษสามารถเก็บข้อมูลเป็นจำนวนมากถึง  200  เมกะไบต์หรือมากกว่านั้น  เช่น  ซิปดิสก์ (Zip disk)  แจ๊ซดิสก์ (Jaz disk) เป็นต้น

 

clip_image003[11]

ภาพแสดง  แผ่นบันทึกข้อมูลชนิดพิเศษ และหน่วยขับแผ่นบันทึก

 

ซีดีรอม

 

           ซีดี  ย่อมาจากคอมแพกดิสก์  และรอมเป็นคำเดียวกับหน่วยความจำแบบรอมคือคำว่า Read Only Memory  แผ่นซีดีรอม  (CD-ROM) หรือ  แผ่นซีดี  เป็นแผ่นบันทึกข้อมูลที่ให้เครื่องคอมพิวเตอร์อ่านข้อมูลที่บันทึกไว้ออกมาใช้  ไม่สามารถบันทึกข้อมูลลงไปได้   ใช้อ่านอย่างเดียว ลักษณะคล้ายแผ่นซีดีเพลง  ใช้ระบบเสียงเลเซอร์ในการอ่านข้อมูลที่เก็บเป็นได้ทั้งตัวอักษร ตัวเลข  เสียง  และภาพก็ได้   มีความจุประมาณ  650  เมกะไบต์  หรือมีความจุมากกว่าแผ่นเก็บข้อมูลประมาณ  450  เท่า  หรือสามารถเก็บข้อมูลจากหนังสือประมาณ  500  เล่ม

 

clip_image003[13]

ภาพแสดง  แผ่นซีดีรอม 1 แผ่น สามารถเก็บข้อมูลเท่ากับหนังสือ 500 เล่ม หรือมีความจุเท่าแผ่นบันทึก 450 แผ่น

 

ดีวีดี

 

           ดีวีดี  (DVD  หรือ  Digital  Versatile  Disk) เป็นแผ่นซีดีที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด โดยแผ่นดีวีดีสามารถเก็บข้อมูลได้ไม่ต่ำกว่า 4.7 จิกะไบต์ คาดหมายว่าแผ่นดีวีดีจะถูกนำมาใช้แทนซีดี-รอม  เลเชอร์ดิสก์   หรือแม้แต่วิดีโอเทป

 

clip_image003[15]

ภาพแสดง อุปกรณ์เก็บข้อมูลชนิด DVD-ROM

 

จอภาพ

 

             จอภาพ (monitor) เป็นอุปกรณ์แสดงข้อมูลผลลัพธ์ที่เกิดจากการประมวลผลจากเครื่องคอมพิวเตอร์  สามารถแสดงผลได้ทั้งตัวหนังสือ  ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหว  โดยทั่วไปนิยมใช้แบบจอภาพสี  สามารถแสดงระดับความแตกต่างของสีตั้งแต่ 16,256,65,536 และ 16,177,216 สีความละเอียดของจุดภาพที่เรียกว่าพิกเซล (pixel) ในการแสดงผลที่ปรากฏบนหน้าจอภาพขึ้นอยู่กับขนาดแมทริกซ์ของการแสดง  เช่น 640 x 480,  800 x 600,  1024 x 768 และ  1280 x 1024  จุด

 

clip_image003[17]

ภาพแสดงจอภาพแบบต่างๆ

 

แผงแป้นอักขระ

 

          แผงแป้นอักขระหรือแป้นพิมพ์ (keyboard) เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญของเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถรับเข้าข้อมูลจากการกดแป้นพิมพ์เพื่อส่งต่อไปให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ แป้นพิมพ์ที่นิยมใช้จะมี  101  แป้น  และแยกแป้นอักขระและตัวเลขออกจากกัน  ส่วนบนจะเป็นแป้นคำสั่งพิเศษเพื่อให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น

 

clip_image003[19]

ภาพแสดงแป้นพิมพ์

 

เมาส์

 

            เมาส์  (mouse)  เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายตัวหนู  ส่วนของสายสัญญาณจากตัวอุปกรณ์ที่ต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์มีลักษณะคล้ายส่วนหางหนู เราใช้เมาส์ในการควบคุมตัวชี้ (Pointer) ที่ปรากฏบนจอภาพให้สามารถเลื่อนไปสู่ตำแหน่งต่างๆ  ที่ต้องการได้โดยง่ายสามารถใช้ร่วมกับโปรแกรมในการควบคุมคำสั่งก็ได้  จะมีปุ่มควบคุม  2  ปุ่ม ด้วยกันโดยทำหน้าที่แตกต่างกันดังนี้

 

             1.  ปุ่มซ้ายมือถ้ากดหนึ่งครั้งหมายถึงการเลือกและถ้ากดสองครั้งติดต่อกันหมายถึงสั่งให้โปรแกรมหรือสั่งรูปที่เลือกทำงาน

             2.   ปุ่มขวามือถ้ากดให้แสดงฟังก์ชันพิเศษโดยใช้ตัวชี้เป็นตัวเลือกฟังก์ชันที่ต้องการได้

                                 clip_image008

ภาพแสดง เมาส์

 

           ในปัจจุบันมีการพัฒนาเมาส์ให้มีรูปร่างสวยงามและกะทัดรัดต่อการใช้งาน  บางรุ่นอาจมีลูกกลมควบคุม  (track ball)  เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานได้ด้วย

 

            หมายเหตุ ปัจจุบันเมาส์ได้รับการออกแบบให้มีรูปทรงทันสมัย  ใช้งานง่ายและสะดวกเพราะบางรุ่นไม่ต้องใช้ลูกกลิ้ง  และมีจำนวนปุ่มเมาส์มากถึง 4 ปุ่ม ทั้งยังติดตั้งปุ่มควบคุม Scroll สำหรับการเลื่อนเอกสารขึ้นลงโดยไม่ต้องเคลื่อนเมาส์ และด้วยเทคโนโลยีใหม่กับการส่งสัญญาณด้วยแสง ทำให้สามารถเคลื่อนเมาส์ได้รวดเร็วบนพื้นผิวทุกประเภท

 

บุคลากร (people)

 

             บุคลากรคอมพิวเตอร์ (Peopleware) หมายถึงกลุ่มบุคคลที่ทำงานเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และโปรแกรม  เช่น  นักเขียนโปรแกรม  (Programmer) เ ป็นผู้นำทำหน้าที่ออกแบบและพัฒนาโปรแกรม  นักวิเคราะห์ระบบ  (System Analyst)  เป็นผู้วิเคราะห์ปัญหาและระบบงานที่มีอยู่แล้วเพื่อแก้ปัญหาและออกแบบระบบใหม่ให้ดีกว่าเดิม ผู้บริหารระบบ (System Administrator)  เป็นผู้ควบคุมจัดการระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ คนเหล่านี้เชี่ยวชาญด้านระบบงานคอมพิวเตอร์โดยเฉพาะ  จึงจำเป็นต้องมีไว้เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไปที่อาจไม่มีความรู้ด้านคอมพิวเตอร์เลย ให้พวกเขาสามารถใช้บริการระบบสารสนเทศได้อย่างสะดวก และยังเป็นการป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากความไม่รู้ของผู้ใช้ได้

 

            บุคลากรคอมพิวเตอร์  ซึ่งถือว่าเป็นส่วนสำคัญส่วนหนึ่งของระบบคอมพิวเตอร์เพราะแต่เดิมนั้น  คอมพิวเตอร์เป็นสิ่งที่ใช้ยาก  บุคลากรที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์จะต้องมีความรู้ในระดับผู้ชำนาญการที่เดียว แต่ในปัจจุบัน  การใช้งานคอมพิวเตอร์มีหลายระดับ  ในระดับพื้นฐานนั้นการใช้งานจะง่ายมาก เพราะทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สมัยใหม่ได้รับการออกแบบให้ง่ายต่อการใช้งาน เรียกว่า  “ เป็นมิตรต่อผู้ใช้ ”  ( User friendly )  ผู้ใช้งานในระดับนี้  เมื่อได้รับการฝึกหัดเพียงเล็กน้อยก็สามารถเริ่มใช้ได้ทันที อย่างไรก็ตาม ระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน  มักมีการต่อเชื่อมกับเครือข่าย ซึ่งส่วนนี้ยังมีความยุ่งยากพอสมควรนอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่อง  ไวรัสคอมพิวเตอร์  ซึ่งเป็นโปรแกรมชนิดหนึ่งที่สามารถทำให้เกิดความผิดปกติในการทำงานของระบบคอมพิวเตอร์  ไวรัสคอมพิวเตอร์เกิดจากผู้ไม่ประสงค์ดี  หรือ  นักศึกษาที่หลงผิด ( ร้อนวิชาและอยากทดลองใช้วิชาในทางที่ผิด )  ผลิตขึ้นมาโดยมีเจตนาทำให้เกิดความเสียหายแก่ระบบคอมพิวเตอร์ของผู้อื่น ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงยังมีความจำเป็นต้องใช้บุคลากรคอมพิวเตอร์ที่มีความเชี่ยวชาญมาดูแลระบบคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในองค์กรที่มีเครื่องคอมพิวเตอร์จำนวนมาก และมีการเชื่อมต่อกับเครือข่าย

 

บุคลากรคอมพิวเตอร์ที่สำคัญ   ได้แก่

           -   ผู้ดูแลระบบ  (System Administrator)

           -   นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)

          -   นักเขียนโปรแกรม  (Programmer)

          -  วิศวกรระบบ  (System Engineer)

           -  วิศวกรเครือข่าย  (Network Engineer)

          -  ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง  (Super User)

           -  ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป  (User)

 

ผู้ดูแลระบบ (System Administrator)

 

           ผู้ดูแลระบบ  หรือ  แอดมิน (อังกฤษ: System administrator, systems administrator หรือ sysadmin) เป็น บุคคลที่ถูกว่าจ้างเพื่อที่จะดูและจัดการระบบหรือเครือข่ายคอมพิวเตอร์ หน้าที่ของผู้ดูแลระบบมีความหลากหลายขึ้นอยู่กับหน่วยงานหรือโครงการ โดยทั่วไปผู้ดูแลมักจะทำหน้าที่ติดตั้ง  ตอบคำถาม  ดูแลเซิร์ฟเวอร์  หรือระบบคอมพิวเตอร์อื่น  รวมถึงการวางแผนงาน การดูแล ควบคุมโครงการที่เกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ นอกจากนี้ผู้ดูแลอาจมีหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ร่วมไปด้วย ในด้านการเขียนโปรแกรม รวมไปถึงการเตรียมตัว และสอนการใช้งานต่อผู้ใช้ทั่วไป

 

นักวิเคราะห์ระบบ (System Analyst)

            บุคลากรด้านการวิเคราะห์และออกแบบระบบงาน  จะมีหน้าที่วิเคราะห์ความต้องการของผู้ใช้รวมไปถึงผู้บริหารของหน่วยงานนั้น ๆ  ด้วยว่าต้องการระบบโปรแกรมหรือลักษณะงานแบบไหน  อย่างไร  เพื่อจะพัฒนาระบบงานให้ตรงตามความต้องการมากที่สุด  หน้าที่ดังกล่าวอาจรวมถึงการออกแบบกระบวนการทำงานของระบบโปรแกรมต่าง ๆ  ทั้งหมดด้วย ซึ่งมักจะใกล้ชิดกับผู้ใช้งานมากที่สุดเนื่องจากต้องคอยสอบถามความต้องการเพื่อวิเคราะห์งานอยู่เสมอ

 

นักเขียนโปรแกรม (Programmer)

 

           เมื่อนักวิเคราะห์ระบบทำการวิเคราะห์ระบบงานเสร็จสิ้น ก็จะส่งต่อมายังผู้ที่ชำนาญในเรื่องของการเขียนโปรแกรมโดยเฉพาะเพื่อสร้างระบบงานนั้นให้ออกมาใช้งานได้จริง ๆ เราเรียกบุคคลกลุ่มนี้ว่า  นักเขียนโปรแกรม  หรือ  Programmer  นั่นเอง  โปรแกรมที่มีขนาดเล็กมาก นักเขียนโปรแกรมเพียงคนเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับการเขียนชิ้นงานนั้น  หน่วยงานบางแห่งจึงต้องมีทีมงานจำนวนมาก เพื่อรองรับกับการเขียนโปรแกรมดังกล่าว วิธีการเขียนอาจแบ่งกลุ่มโปรแกรมออกเป็นส่วนย่อย ๆ ที่เรียกว่าโมดูล (module) แล้วกระจายงานออกไปให้กับแต่ละคน จากนั้นจึงจะนำเอาโมดูลที่ได้กลับมารวมกันเป็นโปรแกรมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง   ซึ่งช่วยลดเวลาในการเขียนโปรแกรมลงไปได้มาก

 

วิศวกรระบบ (System Engineer)

           คือ  บุคลากรที่ทำหน้าที่ออกแบบ  สร้าง  ซ่อมบำรุงและดูแลรักษาฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ให้สามารถทำงานได้ตามที่ต้องการ  ต้องมีความรู้เกี่ยวกับโครงสร้างของฮาร์ดแวร์  หลักการทำงานของฮาร์ดแวร์  สามารถออกแบบฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ได้  มีความรู้ระดับปริญญาตรีหรือสูงกว่าในสาขาอิเล็กทรอนิกส์  วิศวกรรมคอมพิวเตอร์  เป็นต้น

 

วิศวกรเครือข่าย (Network Engineer)

 

            เป็นผู้ออกแบบและดูแลระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ CNE (Computer Network Engineering)  กำลังเป็นที่ต้องการอย่างมากในปัจจุบัน  เพราะการทำงานบนคอมพิวเตอร์กำลังเปลี่ยนรูปแบบไปเป็น   การทำงานบนเครือข่าย  แทนการทำงาน  บนเครื่องเดียว  (Standalone computer) CNE  ทำงานในบริษัทด้าน  ออกแบบเครือข่าย,  ศูนย์คอมพิวเตอร์ของธนาคาร  และบริษัทด้านอินเตอร์เน็ต  และมหาวิทยาลัยต่างๆ   เป็นต้น

 

ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ระดับสูง (Super User)

            หมายถึง  ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ที่สามารถประยุกต์โปรแกรมเพื่อสร้างผลงานต่าง ๆ ตารมต้องการ เช่น การสร้างต้นฉบับสื่อสิ่งพิมพ์ ด้วยโปรแกรม Adobe Pagemaker , Adobe InDesign การสร้างสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอนด้วยโปรแกรม  Authorware หรือ Captivate การออกแบบบ้านหรือ เครื่องยนต์กลไกลด้วยโปรแกรม CAD - Computer Aided Drafting/Design  การสร้างสื่อในระบบเครือข่ายด้วยโปรแกรม  LMS  (Learning Management System)  การคำนวณค่าสถิติด้วยโปรแกรม SPSS เป็นต้น

 

ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วไป (User)

 

              หมายถึง ผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ทั่วไป  สามารถทำงานตามหน้าที่ในหน่วยงานนั้นๆ  เช่น การพิมพ์งาน  การป้อนข้อมูลเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์  การส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์  เป็นต้น  ผู้ใช้คอมพิวเตอร์ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ด้านเทคนิคต่าง ๆ  ของคอมพิวเตอร์ก็ได้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น